วัชพืช (Weed)
พืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในบริเวณที่เราไม่ต้องการให้มันอยู่
วัชพืช (Weed) คือพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในบริเวณที่เราไม่ต้องการให้มันอยู่ หรือเป็นพืชที่เจริญเติบโตผิดที่ผิดเวลาในพื้นที่เพาะปลูกของเรา ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อพืชหลักที่ปลูก เช่น การแย่งชิงทรัพยากร การเป็นแหล่งอาศัยของศัตรูพืชและโรค หรือการลดคุณภาพผลผลิต แม้ว่าบางครั้งวัชพืชบางชนิดอาจมีประโยชน์ในแง่อื่นๆ เช่น ช่วยคลุมดินป้องกันการชะล้างพังทลาย แต่ในบริบทของการเกษตรแล้ว วัชพืชมักถูกมองว่าเป็นศัตรูพืชที่ต้องมีการจัดการ
ผลกระทบของวัชพืชต่อพืชผล
วัชพืชมักจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แข็งแรง และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าพืชปลูก ทำให้เกิดผลกระทบหลายประการ ดังนี้:
- แย่งชิงทรัพยากร: นี่คือผลกระทบที่สำคัญที่สุด วัชพืชจะแข่งขันกับพืชปลูกเพื่อแย่งชิงปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ได้แก่
- น้ำ: วัชพืชจำนวนมากมีระบบรากที่แข็งแรงและสามารถดูดน้ำได้ดีกว่าพืชปลูก ทำให้พืชปลูกขาดน้ำ
- ธาตุอาหาร: วัชพืชจะแย่งธาตุอาหารที่เกษตรกรใส่บำรุงให้พืชปลูก ทำให้พืชปลูกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เจริญเติบโตช้าและผลผลิตลดลง
- แสงแดด: วัชพืชบางชนิดเติบโตสูงและเร็ว สามารถบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงพืชปลูก ทำให้พืชปลูกสังเคราะห์แสงได้น้อยลง
- พื้นที่: วัชพืชจะแย่งพื้นที่ในการเจริญเติบโตของรากและส่วนเหนือดิน ทำให้พืชปลูกไม่สามารถแผ่ขยายได้อย่างเต็มที่
- เป็นแหล่งอาศัยของศัตรูพืชและโรค: วัชพืชหลายชนิดเป็นพืชอาศัยของแมลงศัตรูพืชและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ศัตรูพืชและโรคเหล่านี้สามารถขยายพันธุ์และแพร่กระจายมาทำลายพืชปลูกได้ง่ายขึ้น
- ลดคุณภาพผลผลิต: การมีวัชพืชในแปลงปลูกอาจทำให้ผลผลิตที่ได้มีคุณภาพลดลง เช่น
* ผลผลิตมีขนาดเล็กหรือน้ำหนักน้อยลง
* คุณภาพด้านรสชาติหรือสีสันลดลง
* ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวอาจปนเปื้อนเมล็ดวัชพืชหรือส่วนต่างๆ ของวัชพืช ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดเพิ่มเติม
* วัชพืชบางชนิดมีพิษ หากปนเปื้อนในอาหารสัตว์ อาจทำให้สัตว์ป่วยหรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- เพิ่มต้นทุนการผลิต: เกษตรกรต้องเสียค่าใช้จ่ายและแรงงานในการควบคุมและกำจัดวัชพืช ไม่ว่าจะเป็นการใช้แรงงานคน การใช้เครื่องจักร หรือการใช้สารเคมี
- รบกวนการปฏิบัติงาน: วัชพืชที่ขึ้นหนาแน่นอาจขัดขวางการทำงานของเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น การไถพรวน การปลูก หรือการเก็บเกี่ยว
การจำแนกประเภทวัชพืช
วัชพืชสามารถจำแนกได้หลายวิธี โดยทั่วไปนิยมจำแนกตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์ และวงจรชีวิต:
1. การจำแนกตามลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- วัชพืชใบแคบ (Grasses): มีลักษณะใบเรียวยาว เส้นใบขนานกัน ระบบรากฝอย ลำต้นกลมเป็นปล้อง เช่น หญ้าคา, หญ้าตีนกา, หญ้าขจรจบ
- วัชพืชใบกว้าง (Broadleaves): มีลักษณะใบกว้าง เส้นใบร่างแห มีก้านใบแยกออกจากลำต้น ระบบรากแก้ว เช่น ผักโขม, สาบเสือ, ผักเบี้ยหิน
- วัชพืชตระกูลกก (Sedges): มีลักษณะลำต้นเป็นเหลี่ยมทึบ ไม่มีปล้อง ใบเรียวยาว มักมีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า เช่น แห้วหมู, กกทราย
2. การจำแนกตามวงจรชีวิต
- วัชพืชปีเดียว (Annual Weeds): มีวงจรชีวิตสั้น ประมาณ 1 ฤดู หรือไม่เกิน 1 ปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดเป็นหลัก เช่น หญ้าปากควาย, ผักเบี้ยหิน, ผักโขม
- วัชพืชข้ามปี (Perennial Weeds): มีอายุมากกว่า 1 ปี สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งด้วยเมล็ดและส่วนของลำต้นใต้ดิน เช่น เหง้า, ไหล, หัว ทำให้กำจัดได้ยากกว่าวัชพืชปีเดียว เช่น หญ้าคา, แห้วหมู, ไมยราบยักษ์
วิธีการควบคุมและกำจัดวัชพืช
การจัดการวัชพืชมีหลายวิธี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของชนิดพืชปลูก ชนิดวัชพืช สภาพแวดล้อม และต้นทุน
1. การควบคุมเชิงกล (Mechanical Control):
- การถอนด้วยมือ/การดายหญ้า: เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็ก หรืองานเกษตรอินทรีย์ เป็นวิธีที่ได้ผลดีแต่ใช้แรงงานมาก
- การไถพรวน: ช่วยกำจัดวัชพืชที่งอกอยู่ และฝังเมล็ดวัชพืชบางส่วนลงไปในดิน
- การตัด/การถาง: ช่วยลดการสร้างเมล็ดของวัชพืช และลดการแข่งขันในระยะสั้น
2. การควบคุมเชิงเขตกรรม (Cultural Control):
- การปลูกพืชคลุมดิน: ใช้พืชตระกูลถั่วหรือพืชอื่นๆ ที่เติบโตเร็วมาปลูกคลุมดิน เพื่อป้องกันการงอกของวัชพืช
- การคลุมดิน (Mulching): ใช้วัสดุต่างๆ เช่น ฟางข้าว แกลบ เศษใบไม้ หรือพลาสติกคลุมดิน เพื่อบังแสงแดดและลดการงอกของวัชพืช
- การปลูกพืชหมุนเวียน: การเปลี่ยนชนิดพืชปลูกในแต่ละฤดู ช่วยลดปัญหาการสะสมของวัชพืชชนิดใดชนิดหนึ่ง
- การเตรียมดินที่ดี: ช่วยให้พืชปลูกสามารถตั้งตัวและเจริญเติบโตได้เร็วกว่าวัชพืช
- การปลูกพืชในระยะที่เหมาะสม: เช่น การปลูกพืชให้ถี่ขึ้น เพื่อให้พืชปลูกสามารถคลุมพื้นที่ได้เร็ว
3. การควบคุมโดยใช้สารเคมี (Chemical Control):
- สารกำจัดวัชพืช (Herbicides): เป็นวิธีที่นิยมใช้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ เนื่องจากสะดวกและรวดเร็ว สารกำจัดวัชพืชมีหลายประเภท เช่น
- สารกำจัดวัชพืชก่อนงอก (Pre-emergence herbicides): ใช้ฉีดพ่นลงดินก่อนวัชพืชงอก เพื่อยับยั้งการงอกของเมล็ดวัชพืช
- สารกำจัดวัชพืชหลังงอก (Post-emergence herbicides): ใช้ฉีดพ่นเมื่อวัชพืชงอกขึ้นมาแล้ว แบ่งเป็นแบบดูดซึม (systemic) ที่พืชดูดซึมเข้าสู่ระบบและตายทั้งต้น เช่น ไกลโฟเสต และแบบสัมผัส (contact) ที่ทำลายเฉพาะส่วนที่โดนสาร เช่น พาราควอต
- ข้อควรระวัง: การใช้สารเคมีต้องเป็นไปตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อพืชปลูก สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้ใช้
4. การควบคุมเชิงชีวภาพ (Biological Control):
ใช้สิ่งมีชีวิตอื่น เช่น แมลงบางชนิด เชื้อรา หรือสัตว์เลี้ยง (เช่น เป็ด ห่าน ในนาข้าว) เพื่อควบคุมหรือทำลายวัชพืช เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม แต่ใช้เวลานานและอาจไม่ได้ผลในทุกกรณี
โดยส่วนใหญ่แล้ว การจัดการวัชพืชมักจะใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน หรือที่เรียกว่า การจัดการวัชพืชแบบผสมผสาน (Integrated Weed Management - IWM) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เอกสารประกอบ
ัวัชพืชและการป้องกันกำจัด โดย กลุ่มวิจัยวัชพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช - weeds.pdf
PGS นครศรีธรรมราช
เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ PGS นครศรีธรรมราช ขับเคลื่อนโดย สมาคมอาหารธรรมชาติยั่งยืน นครศรีธรรมราช
ที่อยู่ : ตำบลควนกลาง อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
โทร : 0816577283
