เกษตรชีวพลวัต
เป็นการทำเกษตรที่ผสมผสานหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับปรัชญาที่เชื่อมโยงธรรมชาติและจักรวาล
เกษตรชีวพลวัต (Biodynamic)เป็นการทำเกษตรที่ผสมผสานหลักการทางวิทยาศาสตร์เข้ากับปรัชญาที่เชื่อมโยงธรรมชาติและจักรวาล โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศที่สมดุลและยั่งยืน 

หลักการพื้นฐานของเกษตรชีวพลวัต:
- การเตรียมดิน: เน้นการปรับปรุงโครงสร้างดินให้ร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุ โดยใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ผลิตจากวัสดุในฟาร์มเอง
- การหมุนเวียนพืช: ปลูกพืชชนิดต่างๆ สลับกันเพื่อรักษาสมดุลของธาตุอาหารในดิน และป้องกันการระบาดของศัตรูพืช
- การใช้สารชีวภาพ: ใช้สารสกัดจากพืชและแร่ธาตุที่เตรียมพิเศษ (สารชีวพลวัต) เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและปรับปรุงคุณภาพดิน
- การคำนึงถึงจักรวาล: เกษตรกรชีวพลวัตจะพิจารณาตำแหน่งของดวงดาวและฤดูกาลในการปลูกพืชและดำเนินกิจกรรมทางการเกษตรอื่นๆ
- การเลี้ยงสัตว์: สัตว์เลี้ยงจะถูกเลี้ยงอย่างเป็นธรรมชาติและใช้ประโยชน์จากมูลสัตว์ในการปรับปรุงดิน
- การปิดระบบนิเวศ: พยายามทำให้ฟาร์มเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ โดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ภายในฟาร์มให้มากที่สุด

ขั้นตอนสำคัญในการทำเกษตรชีวพลวัต:
1. การเตรียมสารชีวพลวัต: สารชีวพลวัตเป็นหัวใจสำคัญของเกษตรชีวพลวัต โดยมีการเตรียมสารสกัดจากพืชและแร่ธาตุต่างๆ เช่น ตำแย ยี่หร่า กระดูกสัตว์ ฯลฯ โดยวิธีการที่กำหนดไว้
2. การใช้สารชีวพลวัต: นำสารชีวพลวัตที่เตรียมได้ไปเจือจางและฉีดพ่นให้กับพืชและดิน เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตและปรับปรุงคุณภาพดิน
3. การปลูกพืช: เลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและมีความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกพืชหมุนเวียนและใช้พืชคลุมดิน
4. การดูแลรักษา: ดูแลสวนโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ และควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ
5. การเก็บเกี่ยว: เก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อสุกงอม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี

ข้อดีของเกษตรชีวพลวัต:

 เพิ่มผลผลิต: พืชที่ปลูกโดยวิธีชีวพลวัตมักจะมีคุณภาพดี รสชาติดี และมีสารอาหารสูงกว่า
 ปรับปรุงคุณภาพดิน: ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากขึ้น
 ลดการใช้สารเคมี: ลดการใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
 สร้างความยั่งยืน: สร้างระบบนิเวศที่สมดุลและยั่งยืน
 ผลิตภัณฑ์มีมูลค่าสูง: ผลิตภัณฑ์จากเกษตรชีวพลวัตมักจะมีราคาสูงกว่าเนื่องจากมีคุณภาพและความปลอดภัย

ข้อควรพิจารณา:
- ต้องใช้เวลาและความอดทน: การทำเกษตรชีวพลวัตต้องใช้เวลาในการปรับปรุงดินและระบบนิเวศ
- ต้องมีความรู้และประสบการณ์: เกษตรกรต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการทำเกษตรชีวพลวัต
- ต้นทุนการผลิตสูง: การผลิตสารชีวพลวัตและการดูแลสวนโดยวิธีธรรมชาติอาจมีต้นทุนสูงกว่า
 
การทำเกษตรชีวพลวัตเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่าทั้งในแง่ของผลผลิตและคุณภาพชีวิต
 
 สารชีวพลวัต คือ สารสกัดพิเศษที่ได้จากการนำส่วนต่างๆ ของพืชและแร่ธาตุมาหมักบ่มตามสูตรเฉพาะ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของเกษตรชีวพลวัต (Biodynamic Agriculture) ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพดินและกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชให้แข็งแรงสมบูรณ์
 ทำไมต้องใช้สารชีวพลวัต?
กระตุ้นจุลินทรีย์ในดิน: สารชีวพลวัตช่วยเพิ่มปริมาณและความหลากหลายของจุลินทรีย์ในดิน ทำให้ดินมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์
ปรับปรุงโครงสร้างดิน: ช่วยให้ดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และมีการระบายอากาศที่ดี
เพิ่มความสามารถในการดูดซับธาตุอาหาร: ช่วยให้พืชดูดซับธาตุอาหารจากดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้พืช: ช่วยให้พืชมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดีขึ้น
ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช: ช่วยให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรงสมบูรณ์ และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี

Biodynamic เป็นรูปแบบหนึ่งของเกษตรกรรมทางเลือกที่คล้ายกับการทำเกษตรอินทรีย์ หรือ Organic ซึ่งอิงตามวิถีทางของธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1924 โดย ดร. รูดอล์ฟ สไตเนอร์ นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาชาวออสเตรีย

.

แนวคิดการเกษตรแบบ Biodynamic เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ดร. รูดอล์ฟ สไตเนอร์ ได้บรรยายให้เกษตรกรในปี 1924 เกี่ยวกับการทำเกษตร Biodynamic แต่ในขณะนั้นเขาก็ได้เน้นย้ำว่า แนวคิดของเขาต้องได้รับการทดสอบและทดลองก่อน จึงได้จัดตั้งทีมนักวิจัยขึ้นมา เพื่อทดสอบผลกระทบของวิธีการทางชีวพลศาสตร์ต่อสุขภาพของดิน พืช และสัตว์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดการทำ เกษตรแบบ Biodynamic ก็ประสบผลสำเร็จ โดยฟาร์ม Biodynamic ที่เก่าแก่ที่สุด คือ Wurzerhof ในออสเตรีย และ Marienhöhe ในเยอรมนี

.The Biodynamic Association สมาคมที่ส่งเสริมระบบการเกษตร Biodynamic ในสหรัฐอเมริกา ได้นิยามความหมายของ Biodynamic ว่า “เกษตรกรรมที่ให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ-จริยธรรม-ระบบนิเวศน์” ซึ่งใจความสำคัญของ Biodynamic คือให้ทุกส่วนของไร่เป็นดั่งระบบนิเวศน์ที่สามารถคงอยู่ได้ด้วยปัจจัยภายในตนเอง ห้ามใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงเป็นอันขาด มีการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ตั้งแต่ม้า เป็ด หรือแกะ ไว้ในไร่เพื่อใช้ทานวัชพืช และถ่ายออกมาเป็นปุ๋ยธรรมชาติ


วิธีการทำฟาร์มแบบ Biodynamic
Biodynamic เป็นการทำฟาร์มชีวจิตแบบองค์รวม โดยมีการเพาะปลูกที่บริสุทธ์และสะอาดมากที่สุด ดินและน้ำในพื้นที่การเพาะปลูกจะต้องปราศจากการใช้สารเคมีมากกว่าร้อยปี และที่สำคัญต้องตรวจสอบคุณภาพของหน้าดินแล้วว่ามีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการเพาะปลูกโดยปราศจากสารเคมี และผ่านการปลูกโดยธรรมชาติอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่การเกษตรแบบนี้จะนิยมทำในไร่องุ่นที่ปลูกเพื่อทำไวน์

ที่สำคัญการเพาะปลูก และการเก็บเกี่ยวต้องอาศัยอิทธิพลจากดวงจันทร์ด้วย โดยช่วงจันทร์ข้างแรม เป็นช่วงเวลาที่พืชหยั่งรากได้ดี เชื่อมต่อกับดินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สารอาหารสะสมและพืชมีคุณภาพดีขึ้น และช่วงข้างขึ้นข้างแรม เป็นช่วงระยะเวลาที่รากพร้อมดูดซับสารอาหารและพืชเติบโตอย่างแข็งแรง เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเวลานี้จะทำให้ผลผลิตมีความสด และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะการทำไวน์แบบ Biodynamic นั้น แต่ละขั้นตอนจะถูกกำหนดไว้ตามปฏิทินพิเศษ ซึ่งสอดคล้องกับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
ในปฎิทิน Biodynamic จึงกำหนดวันทั้ง 4 วันไว้ดังนี้
Fruit Days: วันที่ดีที่สุดสำหรับการเก็บเกี่ยวองุ่น
Root Days: วันที่เหมาะสำหรับการตัดแต่งกิ่ง
Flower Days: วันที่ไม่ต้องไปทำอะไรกับต้นองุ่นในไร่
Leaf Days: วันที่เหมาะสำหรับการให้น้ำ

ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งของการทำเกษตรแบบ Biodynamic ก็คือ ต้องมีการเตรียมปุ๋ยหมักแบบพิเศษยัดเข้าไปในเขาวัว และฝังรวมกันไว้ในดินระยะหนึ่ง ต่อมาเขาวัวจะถูกขุดขึ้นมาใช้ใหม่ โดยการนำปุ๋ยที่ยัดไส้ไปใส่ไว้ในแปลงดินที่ทำการเพาะปลูก ซึ่งสาเหตุที่ใช้เขาวัว ก็เพราะเชื่อว่า เขาสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ชาวไวกิ้งเชื่อว่าน้ำที่ดื่มจากเขาสัตว์มีคุณสมบัติในการเพิ่มชีวิตชีวานั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเขาวัวเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นอย่างแท้จริงในกระบวนการทำเกษตรแบบ Biodynamic

สารบีดี (Preparations) หมายเลข 500-508: ความลับแห่งเกษตรชีวพลวัต
สารบีดี หมายเลข 500-508 ที่คุณสอบถามถึงนั้น หมายถึงสารบีดี 8 ชนิดที่ใช้ในการปรับปรุงดินโดยตรง โดยมีการนำไปฝังในดินตามวันและเวลาที่กำหนดตามปฏิทินชีวพลวัต เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สารบีดี หมายเลข 500-508 มีหน้าที่อะไรบ้าง?
500 (ปุ๋ยคอก): เป็นสารพื้นฐานที่ใช้ในการหมักสารบีดีชนิดอื่นๆ ช่วยเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดิน
501 (ยี่หร่า): ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากพืช
502 (ตำแย): ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและควบคุมแมลงศัตรูพืช
503 (ดอกคาโมไมล์): ช่วยกระตุ้นการออกดอกและติดผล
504 (วัวเผือก): ช่วยปรับปรุงคุณภาพของดินและกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
505 (เปลือกหอม): ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและปรับปรุงรสชาติของผลผลิต
506 (หางม้า): ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับพืชและป้องกันโรค
507 (โอ๊ก): ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินและเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำ
508 ทำมาจากเปลือกของต้นโอ๊ก โดยมีกระบวนการหมักที่พิเศษตามหลักเกษตรชีวพลวัต ซึ่งเมื่อนำไปฝังในดิน จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างดินให้ร่วนซุย ช่วยให้ดินสามารถอุ้มน้ำได้ดีขึ้น และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดินอีกด้วย
เอกสารประกอบ

เกษตรชีวพลศาสตร์ - biodynamic.pdf

PGS นครศรีธรรมราช
ศูนย์เรียนรู้

เครือข่ายเกษตรอินทรีย์ PGS นครศรีธรรมราช ขับเคลื่อนโดย สมาคมอาหารธรรมชาติยั่งยืน นครศรีธรรมราช

รายละเอียด >>

  • ที่อยู่ : ตำบลควนกลาง อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
  • โทร : 0816577283