ฮิวมิก สารปรับปรุงบำรุงดิน
Humic หรือ กรดฮิวมิก เป็นสารอินทรีย์สีน้ำตาลเข้ม พบได้ใน ดิน พีต ถ่านหิน แม่น้ำ หนองน้ำ และ มหาสมุทร เกิดจากกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพของ สารอินทรีย์ ที่ตายลง
Humic หรือ กรดฮิวมิก เป็นสารอินทรีย์สีน้ำตาลเข้ม พบได้ใน ดิน พีต ถ่านหิน แม่น้ำ หนองน้ำ และ มหาสมุทร เกิดจากกระบวนการย่อยสลายทางชีวภาพของ สารอินทรีย์ ที่ตายลง

กระบวนการเกิดสารฮิวมิก
กระบวนการที่ 1 เกิดจากลิกนินในพืชถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในดิน แต่เกิดการย่อยสลายไม่สมบูรณ์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของฮิวมัส โดยจะมีการเปลี่ยนโครงสร้างของหมู่เมทอกซิล (demethylation) เป็นออโทไฮดรอกซีฟีนอล (o-Hydroxy phenols) และเกิดการออกซิเดชันของหมู่คาร์บอกซิลิก (Carboxylic group;-COOH) หลังจากนั้นจึงรวมกับโปรตีนเกิดเป็นกรดฮิวมิกและกรดฟูลวิก ตามลำดับ
กระบวนการที่ 2 เกิดจากการเซลลูโลส (nonlignin C sources) ในพืชถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในดิน ได้เป็นโพลีฟีนอล (polyphenol) และถูกออกซิไดซ์กลายเป็นควิโนน (Quinones) แล้วจึงรวมกับโปรตีนให้สารฮิวมิก
กระบวนการที่ 3 เกิดจากในระหว่างที่พืชถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในดินกลายเป็นลิกนิน จะมีสารฟีโน-ลิก แอลดีไฮด์
(phenolic aldehydes) และกรดเกิดขึ้น ซึ่งจะถูกย่อยสลายกลายเป็นควิโนน (Quinones) แล้วจึงรวมกับโปรตีนให้สารฮิวมิก
กระบวนการที่ 4 เกิดจากน้ำตาลที่เกิดจากพืชถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในดินแล้วรวมกับโปรตีนให้สารฮิวมิก

กรดฮิวมิก (Humic Acid)
    กรดฮิวมิก เป็นสารประกอบฮิวมิกชนิดหนึ่ง มีสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้ม มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีมวลโมเลกุล 10,000-100,000 ดาลตัน ละลายในสารละลายด่าง จากการศึกษาองค์ประกอบและโครงสร้างทางเคมีของกรดฮิวมิกพบว่า โมเลกุลของกรดฮิวมิกมีหมู่
ฟังก์ชั่นนัลหลักที่สำคัญได้แก่ หมู่ไฮดรอกซิล (-OH) หมู่คาร์บอกซิลิก (Carboxylic,-COOH group) และหมู่ฟีนิลหรือหมู่ฟีนอลิก
(phenyl or phenolic,-C6H5OH group) ซึ่งทั้งสองหมู่นี้มีบทบาทสำคัญมากต่อความจุในการแลกเปลี่ยนไอออนบวก
(Cations exchange capacity;CEC)
      และความสามารถในการต้านทานการเปลี่ยนแปลงความเป็นกรด-ด่างของดิน (Soil buffering capacity) หมู่ฟังก์ชันนัลที่มีรองลงมา ได้แก่ อินอลิก (Enalic,-CH=C-OH) และคาร์บอนิล (Carbonyl,=C=O) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปควิโนน (Quinine) และคีโตน (Ketone)(นัทธีรา และคณะม2553)
      ธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรดฮิวมิกได้แก่ คาร์บอน (C=49.6-58.7%) ไฮโดรเจน (H=3.9-5.4%) ออกซิเจน (O=32.9-43.5%) ไนโตรเจน (N=1.2-5.0%) และซัลเฟอร์ (S=n.d.-0.8%)
สมบัติที่สำคัญของกรดฮิวมิกจะมีผลอย่างมากต่อการปรับปรุงดินโดยเฉพาะสมบัติทางเคมีของดินก็คือ กรดฮิวมิกเป็นสารที่มีความจุในการแลกเปลี่ยนไอออนบวก (cation exchange capacity,CEC) สูงมากคือ มีค่าระหว่าง 500-870 มิลลิสมมูลต่อ 100 กรัม
ซึ่งสูงกว่าสารฮิวมิกประมาณ 3-4 เท่า ทำให้ถ้าใส่กรดฮิวมิกลงไปในดินในปริมาณมากจะมีผลทำให้ดินมีค่าความจุในการแลกเปลี่ยน
ไอออนบวกรวมสูงขึ้นได้ไม่มากก็น้อยและทำให้ดินมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความเป็นกรด-ด่าง (buffering capacity) ของดินสูงขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังสามารถดูดซับธาตุอาหารพืชที่มีประจุบวก เช่น โพแทสเซียม หรือดูดซับกับธาตุโลหะ
เช่น เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ( ปิยะ,2553)

       กรดฮิวมิกที่มีอยู่ในดินหรือที่ผลิตเพื่อเป็นการค้าเพื่อใช้ปรับปรุงดิน เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงสมบัติของดิน ทั้งสมบัติ
ทางกายภาพ เคมี จุลชีวของดิน และสภาพสิ่งแวดล้อมในดินดังนี้
1. สมบัติทางกายภาพของดิน
กรดฮิวมิกที่ใส่ลงไปในดินจะทำให้ดินมีสีคล้ำมากขึ้น  ดินที่มีโครงสร้างไม่ดีมีโครงสร้างที่ดีขึ้น  มีความแน่นทึบน้อยลง ทำให้เนื้อดินร่วนซุย อุ้มน้ำได้มากขึ้น และถ่ายเทอากาศได้ดี
2. สมบัติทางเคมีและความอุดมสมบูรณ์ของดิน
เช่น เพิ่มความจุในการแลกเปลี่ยนไอออนบวกของดิน ทั้งนี้เพราะกรดฮิวมิกเป็นสารอินทรีย์คอลลอยด์ที่มีประจุลบสูง หรือค่าความจุในการแลกเปลี่ยนไอออนบวกสูง ทำให้ดินบางชนิด ที่มีความจุในการแลกเปลี่ยนไอออนบวกต่ำ เช่น ดินเนื้อหยาบที่มีปริมาณอินทรียวัตถุในดินต่ำสามารถดูดซับไอออนบวกไว้ได้ในปริมาณมากขึ้น ทำให้ไม่เกิดการสูญเสียไปในกระบวนการต่างๆ  เช่น กระบวนการชะละลายในดิน และพืชยังสามารถดูดใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย เพิ่มความสามารถในการต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงระดับความเป็นกรด-ด่างของดินไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป จนถึงระดับที่อาจมีผลในทางลบต่อการเจริญเติบโตของพืช ช่วยเพิ่มการดูดใช้ฟอสฟอรัสในดินของพืชที่ปลูกในดินที่มีสมบัติตรึงฟอสฟอรัสสูงเพราะมีปริมาณเหล็กมาก
3. สมบัติทางจุลชีวของดิน
กรดฮิวมิกจะมีผลต่อการปรับปรุงสมบัติทางจุลชีวของดินโดยการเพิ่มจำนวนประชากรของจุลินทรีย์ และช่วยทำให้จุลินทรีย์ดีนมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพืชมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ ของกรดฮิวมิก:
- ช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดิน ให้ร่วนซุย ทำให้ดินมีสีคล้ำ ระบายน้ำและอากาศได้ดี
- เพิ่มความจุในการยึดเกาะน้ำ ของดิน อุ้มน้ำได้มากขึ้น ช่วยให้ดินเก็บน้ำไว้ได้นานขึ้น
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร ของพืช
- กระตุ้นการเจริญเติบโตของราก กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้กับพืช
- ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี
- เสริมสร้างจุลชีวในดิน เป็นอาหารของจุลินทรีย์ ช่วยให้ระบบนิเวศน์ในดินสมดุล

แหล่งที่มา ของกรดฮิวมิก:
ธรรมชาติ: ดิน,พีต,ถ่านหิน,แม่น้ำ,หนองน้ำ,มหาสมุทร
ผลิตภัณฑ์แปรรูป:ปุ๋ยหมัก,ปุ๋ยชีวภาพ,สารปรับปรุงดิน
การใช้งาน ของกรดฮิวมิก:
เกษตร: ปุ๋ยอินทรีย์,สารปรับปรุงดิน,สารเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร
สวน:,ปุ๋ยอินทรีย์,สารปรับปรุงดิน,สารเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร
อุตสาหกรรม:,น้ำยาทำความสะอาด,สารเติมแต่ง,สารกันน้ำ

ลีโอนาไดต์(Leonadite)
 ลีโอนาไดต์ : เป็นชั้นดินปนถ่านหินที่ถูกออกซิไดซ์ตามธรรมชาติ มีลักษณะนุ่มไม่แข็งตัว มีสีน้ำตาลอ่อนถึงดำ ปกติพบอยู่ในแหล่งถ่านหินที่มีความลึกไม่มาก ประกอบด้วยกรดฮิวมิกและ กรดอินทรีย์อื่น ๆ ดินปนถ่านหินนี้เกิดจากการผุพังสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ด้วยกระบวนการ ทางเคมีและชีวภาพ ดินปนถ่านหินจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่งกำเนิด แหล่งลีโอนาไดต์ขนาดใหญ่พบในมลรัฐดาโกตาเหนือและไวโอมิง ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้ง บริทริช โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา  นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายว่า ลีโอนาไดต์ [18] คือ ลิกไนต์ที่ถูกออกซิไดซ์ตาม ธรรมชาติ ประกอบด้วยเกลือแคลเซียมและเหล็กของกรดฮิวมิกและกรดอินทรีย์อื่น ลีโอนาไดต์นี้เป็นชื่อที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr.A.G. Leonard นักธรณีวิทยาคนแรกที่เป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาแหล่งถ่านหินของรัฐดาโกตาเหนือ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ให้ความหมายว่า ลีโอนาไดต์เกิดจากการผุพังตามธรรมชาติของถ่านหินชนิดลิกไนต์(Lignite) โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นสารประกอบของ
1.ฮิวมัส (Humus)
2.กรดฟูลวิค (Fulvic acid)
3.กรดฮิวมิค (Humic acid)
4.ฮิวมีน (Humin)
หรือเรียกรวมว่า สารฮิวมิก (Humic Substances) วัสดุเหล่านี้ใช้เป็นตัวให้กรดฮิวมิค มีการนำไปใช้ในการปรับปรุงดินเพื่อการเกษตรกรรมและการฟื้นฟูพื้นที่

การเกิดแร่ลีโอนาไดต์
ตามธรรมชาติมีความเป็นไปได้ 2 ทฤษฎี คือ
1. เกิดขึ้นระหว่างขบวนการเกิดถ่านหิน (Caolification) โดยจะเกิดปะปนกับถ่านหินโดยเฉพาะในถ่านหินลิกไนต์ (Lignite) และมีการย่อยสลาย (Decoposition and Oxidation) เกิดร่วมด้วย โดยพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับลิกไนต์ ลีโอนาไดต์มีออกซิเจน เป็นองค์ประกอบถึง 30 – 35 เปอร์เซ็นต์ ส่วนลิกไนต์มีเพียง 25 – 30 เปอร์เซ็นต์
2. เกิดจากการผุพังตามธรรมชาติ (Weathering and Oxidation) ของถ่านหินพีทูลิกไนต์ และซับบิทูมินัส (Sub–bituminous)
ที่ถูกยกตัวขึ้นมาในระดับตื้น (Sub crop) หรือโผล่เหนือผิวดินขึ้นมา (Out crop) แล้วถูกออกซิไดซ์โดยอากาศตามธรรมชาติ ต่อมาจึงเกิดการทับถมกันเป็นชั้นๆ

สารฮิวมิกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1) กรดฮิวมิค (Humic Acid) ซึ่งละลายในสารละลายด่างเจือจาง และนําสารละลายด่างที่สกัดได้นั้นมาตกตะกอนด้วยกรด จะได้ตะกอนของกรดฮิวมิค เมื่อเอากรดฮิวมิคมาสกัดด้วยแอลกอฮอล์ได้ส่วนที่ละลาย คือ กรดไฮมาโทเมลานิค (Hymatomelanic Acid) หรือเอาตะกอนกรดฮิวมิคมาละลายด้วยด่าง แล้วเติมอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) จะได้ตะกอนของกรดฮิวมิคสีเทา ส่วนที่ไม่ตกตะกอน คือกรดฟูลวิคสีนํ้าตาล มีสีจาง  
2) กรดฟูลวิค (Fulvic Acid) สารละลายที่เหลือจากการทำให้เป็นกรดในข้อ 1 นั้น คือ กรดฟูลวิคสามารถละลายได้ทั้งในกรดและด่าง   
3) ฮิวมีน (Humin) คือ สารฮิวมิคซึ่งไม่สามารถสกัดได้ด้วยสารละลายด่างเจือจาง และกรด มีสีคล้ำดําหรือน้ำตาลเข้ม
สารประกอบทั้ง 3 ชนิดนี้ มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันในการควบคุมคณุสมบัติของดิน เช่น สามารถดูดยึด และแลกเปลี่ยนประจุบวกได้ดี  นอกจากความแตกต่างกันในการละลายได้แล้ว โดยทั่วไปพบว่า กรดฟูลวิคเป็นกลุ่มของสารอนินทรีย์ประเภทที่มีมวลโมเลกุลต่ำ ถึงค่อนข้างต่ำ โดยเฉลี่ยมก็อยู่ในช่วง 500 – 20,000 ดาลตัน ส่วนกรดฮิวมิกเป็นพวกที่มีมวลโมเลกุลสูงกว่าคือ ประมาณ 10,000 – 100,000 ดาลตัน หรือมากกว่า สําหรับฮิวมีนนั้นในปัจจุบันพบว่าส่วนใหญเป็นพวกกรดฮิวมิคที่มีมวลโมเลกุลสูง ทั้งนี้เนื่องจาก องค์ประกอบต่าง ๆ รวมทั้งมีหมู่ฟังก์ชั่นนัล (Functional group) ในโมเลกุลของสารทั้งสองใกล้เคียงกัน แต่การที่ฮิวมีนไม่ละลายในด่างที่เจือจาง เนื่องจากสารดังกล่าวถูกดูดยึดไว้อย่างเหนียวแน่นโดยอนุภาคดินที่สาํคัญ เช่น แร่ดินเหนยีว ดังนั้นในการศึกษาธรรมชาติและสมบัติของสารฮิวมิค ส่วนมากจึงเน้นเฉพาะส่วนที่เป็นกรดฮิวมิค และกรดฟูลวิค สำหรับฮิวมีนถือว่ามีสมบัติใกล้เคียงไปทางกรดฮิวมิค เมื่อทำการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในกรดฮิวมิคที่สกัดจากแร่ลีโอนาไดต์พบว่ามีปริมาณคาร์บอนที่มากถึง 63.5%

ประโยชน์ของกรดฮิวมิกและเกลือของกรดฮิวมิก
1. ทำให้ดินมีสีน้ำตาลเข้ม – ดํา ซึ่งสามารถดูดกลืนพลังงานจากแสงแดดได้ดี   
2. มีผลต่อคุณสมบัติทางกายภาพของดิน  
    a. ทำให้เกิดเม็ดดิน (Granulation)
    b. ยืดหยุ่นได้ดี (Plasticity) การดูดซึมดี (Cohesion) ฯลฯ
    c. มีค่าความจุความชื้นสูง (Water holding capacity) ช่วยให้ดินมีความอุ้มน้ำได้ดี และอุ้มได้มากทํา ให้ได้ผลผลิตในการปลูกพืชเพิ่มขึ้น    
3. มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุสูง
    a. มีความสามารถแลกเปลี่ยนประจุสูง 2 – 30 เท่าของดินเหนียวซิลิเกต
    b. มีความสามารถในการดูด (Adsorbing power) สูงเป็นร้อยละ 20 – 90 ของดินแร่  
4. เพิ่มปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช   
    a. เป็นตัวช่วยจับธาตุอาหาร ทั้งธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรองที่อยู่ในดิน และสามารถนําไปส่งต่อไปให้พืช ทำให้พืชสามารถดูดซึมเอาไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย
    b. ช่วยเพิ่มการดูดซับสารประกอบอินทรีย์ในดิน
    c. สามารถแลกเปลี่ยนประจุบวกให้อยู่ในรูปเป็นประโยชน์ต่อพืชได้ดี
    d. ประกอบด้วยธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ (N, P, S) และจุลธาตุสูง
    e. สามารถทำให้แร่ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาได้
5. ช่วยควบคุมความเป็นกรด – ด่างในดินทําให้ดินมีสภาวะเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช   
6. เป็นตัวช่วยตรึงอิออนของโลหะหนักในดิน
7. สามารถช่วยจับสารพิษ เช่น แอมโมเนียในดิน ในน้ำ
8. เป็นตัวช่วยตกตะกอนโลหะหนักในน้ำ
9. ใช้ผสมในอาหารสัตว์เป็นตัวช่วยป้องกันโรคในสัตว์
10. ใช้ในการผลิตยาเนื่องจากสามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ และใช้เป็นเครื่องสำอางทาผิวป้องกันไม่ให้ผิวหนังดูดซับสารพิษ ใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ
11. ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น (Drilling mud) ในการขุดเจาะน้ำมัน (Oil drilling)


สารฮิวมิคหรือกรดฮิวมิคทำอะไรได้บ้าง
1.ช่วยให้เนื้อเยื่อของพืชต้องการอ๊อกซิเจนอิสระเพื่อการหายใจโดยใช้อ๊อกซิเจน จึงเป็นการให้พลังงานจากการเมตาโบลิสซึมต่อพืชชั้นสูงทุกชนิด
2.ร่วมกับแสงอาทิตย์และกระบวนการสังเคราะห์แสงสร้างพลังงานจากการเมตาโบลิสซึ่ม ช่วยให้พืชสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้นโดยช่วยในการจับแสงในคลอโรฟิล
3.เมื่อใช้เป็นสารละลายเจือจางพ่นทางใบ ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเร็วขึ้นและเป็นเหตุให้พืชคุ้นเคยกับการรับอ๊อกซิเจน
4.ไม่เพียงแต่จะช่วยให้พืชหายใจได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มปริมาณของจุลินทรีย์อีกด้วย
5.ช่วยเป็นตัวรับไฮโดรเจนสำหรับเนื้อเยื่อสะสมอาหารที่รากพืชหลากหลายชนิด
6.ให้พลังงานที่เกิดจากการสังเคราะห์แสงและช่วยเสริมกระบวนการนี้ซึ่งได้แก่การ ผลิตทางชีวะเคมีของสารอินทรีย์เชิงซ้อนโดยเฉพาะแป้งจากคาร์บอนไดอ๊อกไซด์,น้ำ จุลธาตุ, และเกลืออนินทรีย์พร้อมกับพลังงานจากแสงอาทิตย์สำหรับการสร้างคลอโรฟิล(Chlorophyll Production)
7.เพิ่มปริมาณคลอโรฟิล(Chlorophyll Content)ในใบพืชขณะที่พืชได้รับอาหารทางรากหรือพ่นทางใบ
8.มีอิทธิพลโดยตรง ต่อการสร้างเอนไซม์และระบบสังเคราะห์เอนไซม์สุทธิ(net Enzyme Synthesis)
9.มีอ๊อกซิน(Auxin)ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำปฏิกิริยาทางเคมีที่เรียกว่า(chelation)กับ ธาตุเหล็กเพื่อป้องกันความเป็นพิษนี้ต่อพืช ช่วยให้พืชเจริญเติบโตตามปกติ มีความสมบูรณ์ ช่วยรักษาความเข้มข้นของอาหารพืช โดยเฉพาะการเจริญของระบบราก(Root System)

การให้ปุ๋ยทางใบและสารป้องกันโรคพืช ชนิดดูดซึมรวมกับ ฮิวมิกแอซิดมีผลดีมากกว่าการพ่นด้วยปุ๋ยหรือยาเพียงอย่างเดียว ดังนี้
1. ทําให้พืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ใบ และยังสามารถเคลื่อนย้ายธาตุอาหารและยาผ่านเซลล์พืชไปยังส่วนต่างๆของพืชที่ต้องการธาตุอาหารนั้นๆ ได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ลดความเป็นพิษ เนื่องจากความเข้มข้นสะสมของปุ๋ยและยาเมื่อนํ้าระเหยแห้งไป
3. พืชจะตอบสนองต่อปุ๋ยและยาได้เร็วขึ้น
4. เพิ่มการหายใจ และการสังเคราะห์แสง โดยการสร้างคลอโรฟิลทําให้พืชสามารถผลิตแป้งและนํ้าตาลได้มากขึ้น
5. เพิ่มการสังเคราะห์ เอนไซม์ และกรดนิวคลีอิค เร่งปฏิกิริยาระหว่างเอนไซม์ กรดอะมิโน ธาตุอาหารและฮอร์โมนต่างๆ จึงเป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชในด้านต่างๆ เช่ น การงอกของเมล็ด การเกิดราก การแตกตา ดอก ยอด กิ่งข้าง และขนาดของลำต้น กิ่งใบ และผล
6. ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคพืช และลดความเครียดจากภาวะแห้งแล้ง

วิธีการใช้ฮิวมิคกับการเกษตร มีดังนี้
1. ใส่ฮิวมิคลงในดิน
ก่อนปลูก ผสมฮิวมิค 200 กรัมต่อไร่ ไถกลบลงในดิน
ระหว่างการเจริญเติบโต ผสมฮิวมิค 100 กรัมต่อไร่ โรยลงบนดินแล้วรดน้ำตาม
ใช้ในอัตรา 0.5-1% (500-1000 ซีซีผสมน้ำ 100 ลิตร) ผสมฮิวมิค 200 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
2. ฉีดพ่นฮิวมิคทางใบ
ใช้ในอัตรา 0.3% -0.5% (300-500 ซีซีผสมน้ำ 100 ลิตร) ผสมฮิวมิค 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นใบพืชทุก 7-15 วัน
3. ราดฮิวมิคลงโคนต้น
ใช้ในอัตรา 0.25% - 0.5% (250-500 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร) ผสมฮิวมิค 25 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดโคนต้นพืชทุก 7-15 วัน

Humic หรือ กรดฮิวมิก เป็นสารอินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อดิน พืช และสิ่งแวดล้อม ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เสริมสร้างจุลชีวในดิน และมีการใช้งานหลากหลายในภาคเกษตร สวน และอุตสาหกรรม

ฮิวมิกเหมืองแม่เมาะ :   https://youtu.be/qhiGcW6KZfQ






https://www.youtube.com/watch?v=qhiGcW6KZfQ

ที่มา: กรมวิชาการเกษตร, Mema 2006

กรดฮิวมิก

ฮิวมิก สารปรับปรุงบำรุงดิน

สวนหม่อนไม้
ศูนย์เรียนรู้

สวนเกษตรนวัตกรรมพึ่งตน ทำเกษตรยั่งยืนบนฐานเกษตรอินทรีย์ บนวิถีพึ่งตน

รายละเอียด >>

  • ที่อยู่ : ตำบลนาเหรง อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช
  • โทร : 0816755283